การที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2025 – 2029 ได้สร้างผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบต่อระบบการเงินโลก นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าของทรัมป์เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านตั้งแต่ภาคการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ ไปจนถึงเสถียรภาพของค่าเงิน
1. การกลับมาของนโยบายการค้าแบบกีดกันทางการค้า (Protectionism)
หนึ่งในนโยบายหลักของทรัมป์คือการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าเพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ทรัมป์ได้ประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศคู่แข่งทางเศรษฐกิจ เช่น จีนและสหภาพยุโรป ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ
ภายใต้นโยบายนี้ หลายประเทศได้ออกมาตรการตอบโต้ เช่น การเพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้าสหรัฐฯ ซึ่งทำให้กระแสการค้าโลกชะลอตัวลง การค้าระหว่างประเทศลดลง และบางอุตสาหกรรมในประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญกับความยากลำบากในการส่งออกสินค้า นอกจากนี้ บริษัทข้ามชาติที่พึ่งพาการผลิตทั่วโลกต้องปรับตัวโดยการย้ายฐานการผลิตหรือเปลี่ยนแหล่งวัตถุดิบเพื่อลดต้นทุน
แม้ว่าทรัมป์จะพยายามปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ผลที่ตามมากลับทำให้บางภาคส่วนเสียเปรียบ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกต้องประสบปัญหาจากการตอบโต้ทางการค้าของคู่ค้า เช่น จีนที่ลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและเกษตรกรต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาล
2. การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ
ทรัมป์ยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยเน้นการลดภาษีให้กับธุรกิจและชนชั้นกลาง รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน ทางรถไฟ และพลังงาน แม้นโยบายดังกล่าวจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตขึ้นในระยะสั้น แต่กลับสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความกังวลต่อความเสถียรภาพทางการเงินระยะยาวของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีความผันผวนและเกิดการโยกย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอื่น ๆ เช่น ทองคำและเงินเยนญี่ปุ่น ในขณะเดียวกัน การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายภาครัฐยังทำให้เงินเฟ้อในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ
3. ผลกระทบต่อค่าเงินและตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา
นโยบายทางเศรษฐกิจและการค้าที่ไม่แน่นอนของ โดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเผชิญกับความผันผวนมากขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดและการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า
ในบางช่วง ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากมีการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนที่มองว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศ ค่าเงินดอลลาร์กลับอ่อนตัวลง สร้างผลกระทบต่อประเทศที่มีหนี้สินเป็นเงินดอลลาร์ เช่น ประเทศในละตินอเมริกาและแอฟริกา
การอ่อนตัวของดอลลาร์ยังส่งผลให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) เช่น น้ำมันและโลหะ มีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาสินค้าเหล่านี้ที่ตั้งราคาในดอลลาร์มีมูลค่าสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น เช่น การใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (hedging) เพื่อป้องกันการขาดทุนจากความผันผวนของค่าเงิน
4. ความเปลี่ยนแปลงในตลาดพลังงาน
ทรัมป์ยังคงสนับสนุนการผลิตพลังงานภายในประเทศ โดยเฉพาะการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ราคาน้ำมันมีความผันผวนเนื่องจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองในตะวันออกกลางยังคงสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของตลาดพลังงานโลก
การลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้าเป็นเป้าหมายสำคัญของทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางและรัสเซียต้องปรับตัวเพื่อลดการพึ่งพารายได้จากการส่งออกน้ำมัน สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ นอกจากนี้ ความตึงเครียดในภูมิภาคยังส่งผลต่อราคาน้ำมันโลกที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้น
5. ความสัมพันธ์กับธนาคารกลางและการเงินระหว่างประเทศ
โดนัลด์ ทรัมป์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หลายครั้งเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่เขามองว่าสูงเกินไป ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและธนาคารกลาง นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนในนโยบายการเงินทำให้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ต้องปรับแผนการดำเนินงานเพื่อรับมือกับความผันผวนในระบบการเงินโลก
ธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยและการซื้อพันธบัตร เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหนี้สินของภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ต้องจัดการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากหนี้เสีย (non-performing loans)
6. การเปลี่ยนแปลงในตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล
ในช่วงปี 2025-2029 ตลาดทุนสหรัฐฯ และตลาดทุนโลกได้รับผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ที่เน้นการสนับสนุนภาคธุรกิจและการลดกฎระเบียบ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี พลังงาน และอุตสาหกรรมหนัก
อย่างไรก็ตาม ตลาดทุนยังคงเผชิญกับความผันผวนเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (cryptocurrency) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเนื่องจากนักลงทุนมองว่าสินทรัพย์เหล่านี้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและความผันผวนของค่าเงิน
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์ยังมีนโยบายที่ไม่ชัดเจนต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งทำให้ตลาดต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบล็อกเชนยังคงมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
สรุป
นโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงที่เขากลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างปี 2025-2029 ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลกในหลายมิติ ทั้งการค้า การลงทุน ค่าเงิน และตลาดทุน แม้จะมีผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายและความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่ตามมาคือการปรับตัวของทั้งรัฐบาล ธนาคารกลาง และภาคเอกชนในหลายประเทศเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้
สำหรับใครที่สนใจเรื่องการลงทุน มีงบน้อย แต่อยากทำกำไร สร้างรายได้ต่อเดือน มีเงินไวทันใช้ สามารถสมัครสมาชิกได้ที่เว็บไซต์ของเรา Global Lotto คุณจะได้เรียนรู้วิธีจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างรายได้ด้วยตัวเองได้ทันที! อย่าลืมใส่รหัสแนะนำ DW368 เพื่อยืนยันสิทธิ์โปรโมชั่นพิเศษ โบนัสเงินคืนสูงสุด 1,500 บาท!